เทศน์เช้า

หมาแทะกระดูก

๕ พ.ค. ๒๕๔๔

 

หมาแทะกระดูก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันคืนล่วงไป ๆ น่ะ เวลาเราเกิดมานี่ชีวิตเราอยู่ อยู่กับวันคืนที่มันล่วงไป โลกเขาเป็นอยู่อย่างนี้ เราเกิดมาแล้วก็พบโลกขึ้นมาอย่างนี้ เราตายไปแล้วโลกก็อยู่อย่างนี้ คนที่ตายไป เห็นไหม คนเขาตายไปโลกก็อยู่ปัจจุบันนี้ โลกไม่เห็นเปลี่ยนแปลงเลย ก็อยู่กันได้ เวลาเขาเกิดมา เขาเกิดมาเพื่ออยู่บนโลก เราก็เหมือนกัน ถ้าเราตายไปแล้วโลกก็เป็นอย่างนี้ อันนี้ที่ว่าเวลาวูบจะตายไปนี่ อันนี้มันสำคัญกับเรา พลังงานต่าง ๆ มันมีอยู่แล้วพลังงานของมัน

แต่พลังงานของใจสิ ใจนี่เป็นพลังงานอันหนึ่ง มีลมหายใจเข้าลมหายใจออกอยู่ ชีวิตเรายังสืบต่อไป ลมหายใจเข้าไม่หายใจออกนี่ มันก็ดับ พอดับแล้วพลังงานนี้ไม่ดับ เวลาตายไปนี่เราตายเฉย ๆ เราเข้าใจว่าตายไป แต่หัวใจมันไม่ตาย หัวใจมันมีอยู่ เวลาตายไปศพนี่เอาไปที่วัด ไปเผากัน เอาไปฝังกัน ศพนี่มีป่าช้า แต่ป่าช้าของใจไม่มี ป่าช้าของหัวใจใครเคยเห็นป่าช้าของหัวใจบ้าง หัวใจเป็นศพอยู่ที่ไหน?

แล้วปฏิเสธได้ไหมหัวใจไม่มี ถ้าปฏิเสธว่าหัวใจไม่มี เวลาสุขทุกข์ร้อนเวลาเขาบอกเราปฏิเสธได้สิว่าทุกข์ร้อนเราต้องไม่เกี่ยว ทำไมทุกข์ร้อนมันมีกับเรา แล้วไม่ใช่มีธรรมดาด้วยนะ เวลามันทุกข์มันร้อน เวลาปกตินี่สบายใจมากเลย พอไปคิดถึงเรื่องที่บาดหัวใจมันจะเจ็บปวดขึ้นมาทันที ธรรมดานี่ข้อมูลไปสะสมอยู่ที่ใจแล้วหนึ่ง แล้วใจนี่ไม่มีวันตายหนึ่ง มันเก็บสะสมไว้ แต่ละภพแต่ละชาติสะสมไป จนเป็นจริตนิสัย จนเป็นสันดานของแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกัน แล้วมันวูบดับไป เวลามันจะวูบดับไปนี่มันเสียดายโอกาสไง

เราเกิดมาพบพุทธศาสนา แม้แต่เทวดาเราอยากเป็นเทวดากันน่ะ อยู่ในธรรมบท เวลาเทวดาเขาจะตายกัน แสงมันจะเริ่มวูบ แสงมันจะน้อยลงไป ชีวิตของเขาอยู่ด้วยแสง อยู่ด้วยทิพย์ แสงมันจะจางลง ๆ มันจะเฉา มันจะตายไป เขาจะเศร้ามาก เขาจะหงอยเหงามาก แล้วเขาอวยพรกัน อยู่ในพระไตรปิฎกนะ บอกว่า “ตายไปแล้วให้เกิดเป็นมนุษย์ เทวดานี่ตายแล้วให้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วพบพุทธศาสนา”

พบพุทธศาสนาจะได้ทำบุญกุศลนี่ไง บุญกุศลอันนี้นี่ ที่ว่าเวลาวูบแล้วตายไป อะไรมันพาเกิดพาดีพาไม่ดี บุญกุศลทำคุณงามความดีนี่ ถ้าสวรรค์นรกไม่มีเราก็สบายใจ เราได้สร้างสมบุญกุศลของเรา เราได้สบายใจ ถ้ามันมีจริงขึ้นมา สละออกไปนี่ ทานนะกว่าจะหามาได้ เป็นผลงานของเราทั้งหมดเลย งานของเราเราทำงานทำการมานี่ เพื่อหาเงินหาทองมา ไปซื้อพวกนี้มา นี่มันกำลังงานมาจากเรา กำลังงานมาจากใจแล้วหนึ่ง แล้วใจนี้คิดสละออกหนึ่ง สละออกจากที่มันสละออกไป มันย้อนกลับมาที่หัวใจ ถ้ามันวูบไปนี่บุญกุศลพาเกิดไง พาให้มันเกิดดีขึ้นมา

เวลามันตายไปมันถึงไม่มีวันตาย เราว่าตาย ๆ ๆ เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ เวลาเราตาย แต่ตัวนั้นไม่มีวันตาย พลังงานนั้นไม่มีวันตาย มันมหัศจรรย์ตรงนี้ แล้วใครสอนอย่างนี้น่ะ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้นะ สอนว่า “ใจไม่เคยตาย” พอใจไม่เคยตาย ใจเกิดตาย ๆ บ่อย ๆ นี่มันเปลี่ยนสมมุติ แล้วสมมุติเป็นบัญญัติ บัญญัติแล้วเป็นวิมุตติ จากวิมุตติขึ้นมานี่ใจที่ไม่เคยตายมันเข้าได้กับนิพพานไง

สิ่งที่ไม่เคยตาย พลังงานที่ว่าไม่มีการสืบต่อ พลังงานนิ่งอยู่ พลังงานอยู่เฉย พลังงานเย็น พลังงานนั้นคือนิพพาน นิพพานคือไม่สืบต่อ เราสืบต่อวันคืนล่วงไป ๆ นี่เวลาวันหนึ่งเป็นขี้ข้าของเวลาไง ในวัฏฏะนี่เป็นขี้ข้าของเวลาทั้งหมดนะ ๒๔ ชั่วโมงเป็น ๑ วัน แล้วที่ว่าเวลาตายไป ๑๐๐ ปีเป็น ๑ วันของทิพย์เขาไปนี่ นั่นก็เป็นขี้ข้าของเวลา เวลานั้นมันยังเป็นขี้ข้าของเวลาตลอดไป

ในวัฏฏะนี้คุ้มครองนะ ในสมมุติของใจนี่มันต้องไปเกิดเป็นภพเป็นชาตินั้น ภพชาตินั้นก็ต้องไปอยู่ในสถานะนั้น สถานะนั้นก็ต้องทุกข์ยากไปอย่างนั้น เวลาเขาเคลื่อนไป ใจก็เคลื่อนไป เหนี่ยวรั้งกัน เคยเห็นไหม ไม่อยากตาย ไม่อยากแก่ นี่มันจะไปดึงเวลาไว้ได้อย่างไร จะดึงว่าความไม่ให้เป็นไปได้อย่างไร เวลามันผ่านไปนี่ ร่างกายนี่เผาไหม้ไปตลอดเวลา มันชราภาพ มันคร่ำคร่าไป มันต้องแก่เฒ่าไป

“ชาติปิ ทุกขา การเกิดนี้เป็นทุกข์อย่างยิ่ง” เพราะมีการเกิด การแก่ การชราภาพ การเจ็บไข้ได้ป่วยนี้ตามมา แล้วก็ต้องตายไป นี่เวลามันหมุนเวียนสับเปลี่ยนไป แล้วเราจะเป็นจะตายไปนี่มันเป็นธรรมชาติของมันอันนั้น แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องศาสนา ทานแล้วมีศีล มีศีลจะเริ่มจับเรื่องของหัวใจได้ มีศีลรักษาศีลเข้ามา ดูเรื่องของใจเข้ามา จับเรื่องของใจนี่ ถ้าทำความมีศีลนี่ มีสมาธิ ถ้ามีศีลแล้วสมาธิมันจะเกิดขึ้นง่าย พอสมาธิเกิดขึ้นง่าย นั่นไง สิ่งที่ไม่มีมันจะจับต้องได้

เพราะอะไร? เพราะจิตของคนสงบขึ้นมานี่ มันสงบเข้าไปในธรรมชาติของมัน มันจะกระทบกับหัวใจของมัน นี่สิ่งที่ความสงบ พอความสงบเกิดขึ้นไป ๆ นี่หมาแทะกระดูก หมาแทะกระดูกนี่หลวงปู่ฝั้นเห็นธรรมข้อนี้ ท่านเอามาพิจารณามากเลย หมาแทะกระดูก หมามันแทะกระดูกของมัน มันได้แต่อะไรของมันนี่ มันแทะกระดูกไป มันนึกว่ากระดูกนี้เป็นอาหาร มันก็ได้กินแต่น้ำลายของมัน กินแต่ความคิดของมัน เห็นไหม

อันนี้ก็เหมือนกัน จิตพอสงบขึ้นมา มันว่าเป็นความสงบ จิตของเรานี่เห็นตัวตนขึ้นมา มันคิดว่ามันเป็นความสงบ มันแทะอารมณ์ของตัวเองไง เวลาอารมณ์ตัวเองมันเกิดขึ้นมานี่ มันก็ดื่มกินอารมณ์ของตัวเอง มันไม่เห็นตัวตน มันไม่เข้าใจตามความเป็นจริง มันไม่วิปัสสนา ถ้าวิปัสสนานี่หมาแทะกระดูก มันเป็นธรรมชาติของหมาที่แทะกระดูก หมาเจอกระดูกไม่ได้ธรรมชาติของมัน มันจะชอบมาก มันจะนอนแทะของมันอย่างนั้น

อันนี้ก็เหมือนกัน เวลาอารมณ์เกิดขึ้นมานี่ เราจะไม่ให้มันเป็นไป เป็นไปไม่ได้หรอก จิตมันเกาะเกี่ยวอารมณ์ นั่นล่ะมันแทะกระดูก มันแทะอารมณ์ตลอดไป แล้วมันทำอะไรไม่ได้ อารมณ์เกิดขึ้นมาก็เสพ ๆ ถ้าเข้าไปจะเห็น มันก็วนอยู่อย่างนั้นใช่ไหม แล้วมันปล่อยวางน่ะ หมาเวลาปล่อยวางกระดูก มันเคี้ยวกระดูกจนหมดไป หรือมันทิ้งกระดูกแล้วมันวางไว้ มันไปนอนของมันปกติของมัน ก็ว่าอันนั้นเป็นผล

เวลาจิตสงบขึ้นมานี่ มันไม่แทะกระดูก มันปล่อยวางกระดูก ปล่อยวางอารมณ์ของตัวเองขึ้นไป จิตมันสงบเข้ามา ๆ มันว่าอันนี้เป็นผล พออันนี้เป็นผลนี่ พอออกมาแล้วมันไม่เป็นผลอะไร เพราะกระดูกมันมีอยู่ อารมณ์มันมีอยู่มันกระทบกันอีก พอกระทบกันอีกมันก็เกิดขึ้นอีก นี่หมาแทะกระดูก ถ้าคิดลงไปนี่มันเป็นไปตามอย่างนั้น

แต่ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ทำปัญญาขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาอย่างนั้นปัญญาที่ว่าหมาแทะกระดูก จิตนี้กระทบอารมณ์นี่มันเป็นปัญญาโดยธรรมชาติของมันที่เกิดขึ้นนะ ปัญญาในการปฏิบัติของเรานี่ ปัญญาในการเกิดขึ้นคือปัญญาต่อหน้า ปัญญาในการกระทบรู้ สิ่งที่กระทบสัมผัสรู้ขึ้นน่ะ มันก็เกิดปัญญาขึ้นมา

ประสบการณ์ไง ประสบการณ์ของจิตอันนั้นมันขึ้นมา แต่ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาประสบการณ์ใช้ไม่ได้ ประสบการณ์กระทบตรงเข้าไป ๆ จนมันเกิดความรู้อันใหม่เกิดขึ้นมา ความรู้อันใหม่อันนั้นน่ะ ความรู้อันใหม่ถึงเป็นภาวนามยปัญญา ความรู้อันใหม่ขึ้นมาที่ว่าไม่ใช่หมาแทะกระดูก หมาแทะกระดูกนี่เป็นธรรมชาติ

แต่ความรู้อันใหม่ขึ้นมานี่มันไม่เป็นธรรมชาติหรอก มันเห็นว่าหมานี่หมาแทะกระดูก กระดูกคืออะไร? หมาคืออะไร? มันจะแยกแยะสิ่งนั้นไง มันแยกแยะว่าหมาคือหัวใจของเรา มันโง่เง่าเต่าตุ่นอย่างนั้น มันสัมผัสไปตามธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมันมีอย่างไรมันก็สัมผัสไปอย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็เข้าใจตามธรรมชาติของมัน เห็นไหม จินตมยปัญญา มันกระทบสิ่งนั้นเกิดขึ้นมา ปล่อยวางเข้าไป ๆ

แล้วถ้าภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นล่ะ มันต้องมีการภาวนามยปัญญาจับตัวหมาให้ได้ อันนี้เราไม่เห็นน่ะ เราเป็นหมาเสียเองนะ จิตนี่มันเป็นหมาเสียเอง พอเป็นหมาเสียเองมันกระทบเองมันก็ปล่อยวางเองโดยธรรมชาติของมัน มันเป็นหมา มันไม่สามารถเป็นบุคคลขึ้นมาได้ เป็นสัตว์ประเสริฐขึ้นมาได้ มันก็เวียนตายเวียนเกิดตามที่ว่านี่ มันต้องเวียนตายเวียนเกิดไปตามวัฏวน ตามกรรมอันนั้น

แต่คนฉลาดยังดีนะ พวกเราชาวพุทธเป็นคนที่ฉลาด สะสมบุญกุศลไว้ ถึงจะออกจากบ้าน ให้มีเสบียงไป จิตนี้ออกจากร่างกายนี่ให้มีบุญกุศลกับจิตดวงนี้พาเกิดพาตายไปตลอด จนเข้าใจ จนละเอียดเข้ามา วุฒิภาวะของใจมันเจริญขึ้นมา วุฒิภาวะของใจมันพัฒนาขึ้นมา จนว่าทานก็เป็นทาน เข้าใจว่าให้ทานเป็นทาน ทานอันนี้เป็น ๓ เส้า เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา เป็น ๓ เส้า เป็นผู้ได้ตั้งจิตขึ้นมา ทานก็ให้ขึ้นมาเพื่อให้ภาวนาง่ายขึ้นมา มีทานขึ้นมาจิตมันอ่อนนุ่ม ควรแก่การงาน

ถ้าเกิดถ้ารักษาศีล รักษาศีลขึ้นมาจนภาวนาขึ้นมา จนจิตมันสงบ เป็นหมา จนหมากับกระดูกนั้นเห็นตัวไง การที่ว่าเห็นหมาหรือเห็นกระดูกนั่นน่ะ กายกับใจนี่เห็นกายหรือใจ พอเห็นกายหรือใจขึ้นมามันจะเห็นจิต เห็นจิตเห็นกาย พอเห็นจิตเห็นกายนี่ นั่นน่ะงานชอบ ตัวหมามันเป็นไปเองโดยธรรมชาตินะ นี่มันวกวนตรงนี้ คิดว่ามันเห็นว่าคำว่าหมานี่คนอื่นพูดไง สมบัติมันธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไปศึกษามานี่ เราว่าเราเข้าใจ เราว่าเรารู้

อันนี้ก็เหมือนกัน ธรรมะของหลวงปู่ฝั้นนะหมาแทะกระดูกนี่ หลวงปู่ฝั้นท่านเห็น ท่านเอามาเป็นคติใจสอนท่าน ท่านเห็นหมาแทะกระดูกแล้วท่านกระทบเข้ามาถึงจับหัวใจของตัวเอง ไอ้เรานี่มันหมาแทะกระดูกโดยธรรมชาติของมัน แต่ธรรมชาติของมัน ฟังสิ ธรรมชาติของมันคือสิ่งที่กระทบ แต่ธรรมชาติของการรู้เห็นมันเป็นการเข้าไปจับต้องมัน เข้าไปจับ เข้าไปคว้าตัวมันไง เข้าไปจับต้องได้

พอเข้าไปจับต้องได้นี่มันเป็นงานชอบ งานชอบมันจับกายกับจิตได้ ถ้าจับกายกับจิตได้ก็จับตัวหมาได้ เราล่ามโซ่ไว้ ฝึกหมานั้นจนหมานั้นฉลาดขึ้นมา จนหมานั้นเราให้อาหารมัน ถึงธรรมชาติของมันมันจะแทะกระดูกนั้นคือขันธ์กับใจมีอยู่ด้วยกัน นั่นธรรมชาติของมัน แต่ถ้ามีอาหารเข้าไปนี่ อาหารที่กินแล้วอิ่มท้อง กินแล้วสุขสบาย เห็นไหม หมากินข้าวกินปลาแล้วอิ่มท้องนอนเล่นอยู่ กระดูกมันจะนอนมองเฉย ๆ เลย มันไม่สนใจ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมานี่ ปัญญาเกิดขึ้นมามันไตร่ตรองขึ้นมา มันใคร่ครวญความเป็นจริงของมัน กระดูกกินไม่ได้ มันมีอยู่นั่นมันเป็นธรรมชาติของมันที่ว่าเราเกิดขึ้นมาเป็นสถานะของมนุษย์ มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ หัวใจนี้ปกครองด้วยธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี้เป็นเครื่องมืออาศัยของใจต่างหาก ใจเกิดเป็นมนุษย์นี้ชาติหนึ่ง มันก็ได้อาศัยชาตินี้เป็นมนุษย์สร้างคุณงามความดีไป ขันธ์ ๕ เวลาตายไปแล้วไปเกิดเทวดามีขันธ์ ๔ เกิดเป็นพรหมมีขันธ์ ๑

แล้วถ้าไม่เกิดเลยล่ะ? ไม่เกิดเลยจิตนั้นก็ปล่อยวางออกไปทั้งหมด ปล่อยวางออกไปมันจะปล่อยวางได้อย่างไรถ้ามันชำระ มันต้องชำระสิ่งนั้นออกไปด้วยภาวนามยปัญญาอย่างนี้ มนุษย์ถึงประเสริฐตรงนี้ไง ประเสริฐที่มีมรรคอริยสัจจัง มีทางอันเอก มีทางพ้นทุกข์ไป มีศาสนาให้เครื่องดำเนินไง ศาสนาพุทธเรานี่ เริ่มแต่ทำทาน รักษาศีล แล้วภาวนาจนหลุดพ้นไปได้ เหมือนกับอาจารย์มหาบัวบอก “เหมือนกับห้างสรรพสินค้า” เราเข้าไปในห้างสรรพสินค้ามีสินค้าขายทุกอย่างเลย มันเป็นที่ว่าเรามีเงินพอขนาดไหน เงินในกระเป๋าเรานี่ จะซื้ออะไรได้

อันนี้ก็เหมือนกัน ความเห็นของเรา ความเชื่อของเราขนาดไหน เราก็จะเอาของมาก ๆ สิ่งนั้น ถ้าความเชื่อเราไม่เชื่อเรื่องบุญกุศลมากเกินไป เราก็ทำว่า เอ๊อ...สักแต่ว่าทำ เห็นไหม เด็ก ๆ มานี่ไม่รู้เรื่องบุญกุศลนะ เด็กมันเล็กเกินไป มันไม่เข้าใจหรอก พ่อแม่ให้มาก็มาตามพ่อแม่ ทำเหมือนกัน สักแต่ว่าทำ บุญน้อยกว่าพ่อแม่ แต่ก็ได้บุญไปเรื่อย ๆ

แต่ถ้าพ่อแม่มาเห็นไหม พ่อแม่คนไหนหรือว่าผู้ใหญ่คนไหนศรัทธามาก เวลาทำ จบนบใส่หัวขึ้นมานี่ จบคืออธิษฐานใจ สละออกไปนี่หัวใจมันเปิดกว้าง บ้านเราเปิดประตูกว้างอากาศจะเข้าได้เต็มที่เลย นี่มันไม่เหมือนกัน พอความเห็นของเรา เจตนาของเราขนาดไหน เรามีความเจตนาขนาดไหนเราสร้างของเราขึ้นมา สร้างเหตุขึ้นมาเพื่อจะได้เอาเงินนั้นไปซื้อสมบัติขึ้นมา

อันนี้ก็เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง ทำทางแล้วเราจะทำได้เราต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เจตนานั้นเพียงแต่เราเห็นสินค้า เราจะหยิบสินค้าในห้างสรรพสินค้านั้น แต่เราต้องพยายามสร้างหาเงินหาทองของเราขึ้นมา มีสมาธิขึ้นมาไง มีความสงบของจิตขึ้นมา มันจะเป็นโลกุตตระ ถ้าความสงบนี้ไม่เกิดขึ้นมันเป็นโลกียะ ความคิดนั้นมันก็เหมือนหมากับกระดูกน่ะ กระทบกันอยู่อย่างนั้น

ถ้าเป็นโลกุตตระนะมันจะเป็นตัวหมาเสียเอง หมานั้นจะฉลาดขึ้นมา หมานั้นจะทำให้ตัวเองนี่เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม จนกว่าถึงที่สุดแล้ว พ้นจากกิเลสไปทั้งสิ้น เพราะไอ้ตัวที่ว่าหมาแทะกระดูกอันนั้นน่ะ มันเคยเป็นคติสอนใจ มันเตือนใจเข้ามาถึงเราได้ ถ้าเราไม่คิดเตือนใจเข้ามา มันจะเข้ามาไม่ถึงเรา มันก็เห็นภาพแล้วก็วางไว้อย่างนั้น

ถ้าเราเห็นภาพแล้ว ใจกับอารมณ์เป็นอย่างนั้นไหม คิดให้เข้ามานี่ ทำไมมันโง่ขนาดนั้น ทำไมเอาความทุกข์มาให้เราขนาดนั้น มันย้อนกลับเข้ามามันก็เป็นประโยชน์กับตัวเราเอง พอเป็นประโยชน์กับเรา มันก็เป็นผลประโยชน์ของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะประเสริฐขึ้นมาเพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราเจอแล้ว

แล้วเราปฏิบัติตาม เราคิดค้น เราค้นคว้าเข้ามาภายใน จะเป็นประโยชน์ของใจดวงนั้น นั่นน่ะเจตนาเกิดจากใจดวงนั้น นี่ศรัทธาความเชื่อ แล้วก็สร้างสมขึ้นมา เป็นสมบัติของใจตัวเอง แล้วจะซึ้งใจดวงนั้นมาก ศาสนากับใจเป็นอันเดียวกันแล้วจะซึ้งใจดวงนั้นมาก เอวัง